MONEY EXPO & SEMINAR • SEMINAR

เปิดแผนล่ากระทิงเข้าพอร์ตปี 2023

นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด หรือ LH Fund กล่าวในงานสัมมนาของวารสารการเงินธนาคาร “Thailand Next Move 2023: The Nation Recharge” หัวข้อ Trophy Hunting : เปิดแผนล่ากระทิงเข้าพอร์ตปี 2023  ว่า การลงทุนในปี 2566 เป็นปีที่อาจจะต้องเผชิญความยากลำบาก และมีการเปลี่ยนแปลงแผนการลงทุนอยู่เสมอ ปัจจัยจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและปัจจัยเงินเฟ้อ ที่เข้ามาส่งผลกระทบต่อแผนการลงทุนของนักลงทุน หรืออาจเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession)

ทั้งนี้ มองว่าภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความคล้ายกับสถานการณ์ปี พ.ศ.2511-2522 ที่เกิดภาวะเงินเฟ้อ น้ำมันขาดแคลนส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น เกิดสงครามในประเทศเวียดนาม ขณะที่ปัจจุบันเกิดสงครามรัฐเซีย-ยูเครน โดยในขณะนั้นสหรัฐฯ เผชิญกับสถานการณ์เงินเฟ้อเป็นเวลายาวนานถึง 5 ปี จึงมองว่าการแก้ปัญหาในปัจจุบันน่าจะใช้วิธีเดียวกันกับช่วงนั้นได้ เพราะมีสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกัน

ปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อสูงในสหรัฐฯ และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดเป็นระยะเวลายาวนาน ปัจจัยแรก เศรษฐกิจสหรัฐฯ กว่า 70% มาจากภาคบริการ โดยปัจจุบันภาคบริการยังอยู่ในอันดับที่ดี ปัจจัยที่สอง ผู้ประกอบการในสหรัฐฯ กว่า 70% ส่วนใหญ่ยังไม่มีความจำเป็นที่จะใช้เงิน และคาดว่าจะมีความจำเป็นสำหรับใช้เงินในการรีไฟแนนซ์ในอีก 10 ปีข้างหน้า ซึ่งถือว่าไม่มีผลกระทบกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

รวมทั้งในภาคประชาชนที่มองว่าปี 2563-2564 มีการสะสมทุนไว้ค่อนข้างสูง โดยมีการคาดการณ์จากธนาคารกลางว่า เงินของประชาชนที่อยู่ในระบบยังไม่มีการนำทุนที่สะสมไว้ไปใช้จ่าย และหากมีการนำไปใช้คาดว่ากว่าจะได้รับผลกระทบอย่างเร็วที่สุดน่าจะอีกประมาณ 1 ปีข้างหน้า ปัจจัยสุดท้าย ราคาที่อยู่อาศัยที่ปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม สินเชื่อที่อยู่อาศัยสัดส่วน 95 % มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ ดังนั้น จะไม่ได้รับผลกระทบจากกรณีเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

 จากเหตุการณ์ที่กล่าวมาทั้งหมดในข้างต้น นายมนรัฐกล่าวว่า คล้ายกับปี พ.ศ.2511-2517 ที่สถานการณ์ตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนอย่างมาก แต่หลังจากที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปแล้วหุ้นขนาดใหญ่จะใช้ระยะเวลาในการฟื้นตัวประมาณ 8 ปี ดังนั้น จึงแนะนำให้ดูกลยุทธ์ในช่วงเวลานั้น

สำหรับหุ้นที่มีประสิทธิภาพดีจะเป็นหุ้นขนาดเล็ก (Small Cap) ในกลุ่มไฟฟ้า พลังงาน กลุ่มสินเชื่อ เห็นได้จากในขณะนั้นเฟดได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง หลังเงินจาก 5.5% พุ่งขึ้นไปสูงถึง 13% ส่งผลให้นักลงทุนหนีการซื้อหุ้นเล็กไปซื้อหุ้นเติบโตสูง เพราะคาดว่าตอบโจทย์ แต่เมื่อเฟดหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ย จีดีพีเริ่มติดลบ หุ้นขนาดเล็กเริ่มกลับมาได้รับความสนใจ เนื่องจากมีการเติบโตที่ง่ายและชัดเจน มีงบแสดงฐานะทางการเงินที่แข็งแรง จึงคาดว่าจะอยู่รอด และเติบโตได้ดี

นายมนรัฐกล่าวถึงแผนล่ากระทิงเข้าพอร์ตปี 2566 ว่า จากภาวะเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง รวมทั้งประเด็นเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) และโลกาภิวิตน์ (Globalization) ที่ยังไม่ชัดเจน จึงคาดว่าต้องทำใจหากในวันข้างหน้าตลาดหุ้นอาจจะยังไม่เติบโตมากนัก และต้องเลือกลงทุนให้เหมาะสม โดยแนะนำให้ลงทุนในตราสารหนี้และหุ้น

สำหรับหุ้นที่น่าจับตามองคือ กลุ่มโรงไฟฟ้า อสังหาริมทรัพย์ และธนาคารพาณิชย์ เป็นต้น รวมทั้งแนะนำให้เลือกลงทุนในหุ้นที่มีการจ่ายปันผล หรือกลุ่มที่มีการซื้อหุ้นคืน โดยหุ้นเหล่านี้ปัจจุบันมีอัตราราคาปิดต่อกำไร (P/E Ratio) ค่อนข้างถูก ดังนั้น คาดว่าน่าจะเป็นกลุ่มที่สามารถหลบภัยได้ดีในระยะยาว จึงแนะนำนักลงทุนให้ความสนใจกับหุ้นที่มีความเข้าใจง่าย แต่มีการเติบโตของผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง

นายมนรัฐ แนะนำนักลงทุนควรมีการวางแผนจัดสรรพอร์ตการลงทุนที่ดี มองการลงทุนจากหุ้นที่มีการดำเนินธุรกิจที่ดี หรือกองทุนที่มีธีมการลงทุนที่ดี พร้อมยกตัวอย่างในอดีตบริษัทที่มีการซื้อหุ้นคืน (Share buyback) และกลุ่มที่จ่ายเงินปันผลจะมีการเติบโตที่ดี เนื่องจากช่วงที่ตลาดผันผวนหุ้นเหล่านี้จะผันผวนน้อยกว่าหุ้นกลุ่มอื่น รวมทั้งให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ที่สูงถึง 4-5% ต่อปี และมีการซื้อหุ้นคืนกว่า 6-7% ต่อปี

พร้อมกันนี้ ได้แนะนำนักลงทุนทั้งที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศว่าควรวิเคราะห์จากค่าเฉลี่ย P/E ในปีก่อนหน้า ดูประวัติการซื้อหุ้นคืน และการจ่ายเงินปันผล รวมทั้งดูแผนการดำเนินงานในอนาคตที่ไม่ควรหวือหวา เช่น กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มพลังงาน และกลุ่มสินเชื่อ เป็นต้น ถึงแม้ว่าจะได้ผลตอบแทนไม่มากนัก แต่ถือได้ว่าค่อนข้างที่จะปลอดภัยต่อการลงทุน อีกทั้งการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศไม่แตกต่างกับการซื้อตราสารหนี้ในไทย จึงมองว่าไม่ควรไปแตะมากสักเท่าไหร่

อีกทั้งการลงทุนในหุ้นที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (Private Equity) เช่น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ส่วนใหญ่จะเหมาะกับนักลงทุนที่มีสินทรัพย์สูง (High Net Worth) อย่างไรก็ตาม การลงทุนแบบ Private Equity จะไม่มีสภาพคล่อง โดยเงินต้องพักไว้ในกองทุนเป็นระยะเวลายาวนานแต่ให้ผลตอบแทนอยู่ในเกณฑ์ที่ดี

สำหรับการลงทุนในทองคำเชื่อว่ายังสามารถไปต่อได้จากการหนุนของค่าเงินสหรัฐฯ แต่ต้องมองด้วยว่าค่าเงินมีโอกาสลงด้วย โดยธนาคารกลางในหลายประเทศของกลุ่มที่ไม่ถูกใจประเทศสหรัฐฯมากนัก มีการซื้อทองคำเพื่อนำไปใช้เปรียบเทียบกับค่าเงินของประเทศตัวเองให้มีความน่าเชื่อถือ เพื่อไม่ใช้เงินดอลลาร์สหรัฐในการซื้อขาย ซึ่งทองคำถือว่ายังมีความต้องการ หรือดีมานด์ที่มากพอสมควรต่อการลงทุน

นายมนรัฐกล่าวปิดท้ายว่า บลจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ มีกองทุนเปิด แอล เอช ดิวิเดนด์ แอนด์ บายแบ็ค (LHDIVB) เป็นกองทุนที่คัดเลือกหุ้นเข้ามาจากงบดุล (Balance Sheet) มีกระแสเงินสด (Free Cash Flow) ในระดับที่ค่อนข้างสูงมาก โดยนักลงทุนสถาบันและนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ส่วนใหญ่เลือกลงทุนจากข้อมูลเหล่านี้

กองทุน LHDIVB มีนโนบายลงทุนในหุ้นที่ให้ผลตอบแทนโดยการจ่ายเงินปันผลหรือการซื้อหุ้นคืน ประกอบด้วยหุ้นคุณค่า (Value Stock) ประมาณ 50% หุ้นเติบโต (Growth Stock) ประมาณ 50% โดยผลตอบแทนจากเงินปันผลมีความสม่ำเสมอแม้ในช่วงที่ตลาดผันผวนสูง